บทที่ 2 ฉันไม่ใช่ลูกพลับนิ่มนะ
เด็กชายมองไปทางน้องสาวด้วยความห่วงใย เพราะเขากลัวว่าถ้าหากเขาวิ่งไปหยิบของด้านนอกแล้วน้องสาวอาจจะถูกรังแกเหมือนที่ผ่านมา
“ไปเถอะ น้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ เอาตะกร้าใบใหญ่หน่อยนะ” ซูเหยาพูดกับเด็กชายออกมาอีกรอบ
ซึ่งตอนนี้มู่เฟยได้วิ่งปรู๊ดออกจากห้องนอนของแม่เลี้ยงไปแล้วอย่างรวดเร็ว ส่วนผิงผิงเด็กหญิงตัวน้อยก็จ้องมองไปยังขนมในตู้ของซูเหยาด้วยความอยากกินจนน้ำลายสอ
“ผิงผิง มาเอาไปกินรอพี่ชายก่อนสิจ๊ะ” ซูเหยาได้กวักมือเรียกเด็กตัวน้อยให้เข้ามาหาตนเพื่อที่จะได้มาเอาขนม
ซึ่งผิงผิงเองก็กำลังจะเดินเข้าไปหาแม่เลี้ยงอยู่แล้ว แต่ว่าเธอกลับนึกถึงภาพอันโหดร้ายที่เธอเคยถูกตีขึ้นมาได้เสียก่อนจนทำให้เธอส่ายหัวปฏิเสธออกมาด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับน้ำตาคลอด้วย
ซูเหยาเมื่อได้เห็นเด็กตัวเล็ก ๆ เป็นแบบนี้เธอก็ได้แต่รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“ไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้น้าจะไม่ตีพวกหนูแล้ว” ซูเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง เพราะเธอในตอนนี้ยังไม่ฟื้นไข้ดีนัก
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กน้อยจ้องตากันอยู่สักพัก พวกเธอก็ได้ยินเสียงวิ่งที่มาจากด้านนอก ซึ่งเป็นเสียงฝีเท้าของมู่เฟยนั่นเองที่ได้กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่ขนาดกลางในมือ
“นะนี่ครับน้า” มู่เฟยได้ยื่นตะกร้าส่งให้กับซูเหยาอย่างขลาดกลัว เพราะเขาเกรงว่าจะทำอะไรให้แม่เลี้ยงขุ่นเคืองเอาได้
เมื่อซูเหยารับตะกร้านั้นไปแล้ว มู่เฟยก็ถึงกับถอยกรูดมายืนอยู่กับน้องสาวทันทีด้วยความหวาดระแวง ตอนนี้ซูเหยาเธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี เพราะเด็กสองคนนี้ดูกลัวเธอมากจริง ๆ
“พ่อไปไหน ใครรู้บ้าง” ซูเหยาได้ถามพวกเด็ก ๆ ขึ้นมาเพราะความทรงจำเกี่ยวกับสามีของร่างนี้ดูเหมือนจะขาด ๆ หาย ๆ
“ไปล่าสัตว์บนภูเขาค่ะ” เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กตอบออกมา เพราะเธอไม่ค่อยรู้สึกกลัวซูเหยาที่อยู่ตรงหน้าสักเท่าไรแล้ว
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปในครัวกันเถอะ จะได้ทำอาหารกินกัน” ซูเหยาพูดขึ้นเมื่อเธอได้นำของที่อยู่ในตู้มาใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ที่มู่เฟยหามาให้
“นะน้าเหยาผะ..ผมช่วย” เด็กชายแม้ว่าจะยังคงกลัวซูเหยาอยู่ แต่ว่าเขาเป็นเด็กที่ดีมาก เพราะเขายังกล้าเสนอตัวไปช่วยซูเหยาถือของ
“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเฟยก็ถือตะกร้าไข่นี่ก็แล้วกันนะ วันนี้น้าจะทำไข่ผัดมะเขือเทศให้กิน” ซูเหยากล่าวกับเด็กน้อยพร้อมบอกรายการอาหารที่เธอจะทำ
ด้านเด็กน้อยก็พากันกลืนน้ำลายลงคอดังอึกด้วยความอยากกิน พร้อมกับคิดว่าหน้าตาและรสชาติจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน
ตอนนี้คนทั้งสามก็ได้พากันเดินเข้ามาในครัวที่ได้อยู่ติดกับห้องโถงของบ้าน พื้นที่บ้านหลังนี้ไม่ได้มีแต่พวกเธอเท่านั้น เพราะบ้านหลังนี้ยังคงปลูกอยู่บนพื้นที่เดียวกับบ้านพ่อแม่ของมู่หาน
“ไม่ได้ยินเสียงหมูร้องกันหรือไง ทำไมสายป่านนี้แล้วเด็ก ๆบ้านของเจ้ารองยังไม่ไปเก็บหญ้ามาให้หมูกินอีก” เสียงแหลม ๆ ของฉินเจียวซึ่งเป็นย่าของเด็ก ๆ ตะโกนขึ้นอย่างดังจนทำให้ซูเหยาถึงกับตกใจแทบทำชามไข่ตกพื้นทีเดียว
“ไม่ต้องไป ถ้าใครมาหาเรื่องพวกหนูเดี๋ยวน้าจัดการเอง” เสียงของซูเหยาพูดออกมาอย่างเฉียบขาด เมื่อเธอเห็นว่าเด็กน้อยลูกเลี้ยงทั้งสองกำลังจะเดินออกจากครัว
“ตะ..แต่ว่าย่าดุมากเลยนะครับ ถ้าพวกเราไม่ไปจะต้องโดนทำโทษอย่างแน่นอน” มู่เฟยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ไม่เป็นไร ถ้ามีใครมาหาเรื่องน้าจะจัดการเอง แล้วรอพ่อของพวกเธอกลับมาก่อนพวกเราก็ค่อยปรึกษากันเรื่องย้ายที่อยู่” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยในเรื่องที่เธอคิดไว้
“ยังไม่ออกมากันอีก” เสียงเล็กแหลมชวนแสบแก้วหูนั้นตอนนี้ได้ดังมาถึงหน้าบ้านของเธอแล้ว
ซึ่งซูเหยาก็หาได้สนใจอันใด เพราะหลังจากที่เธอพยายามจุดเตาไฟอยู่นานในที่สุดยามนี้มันก็ติดเสียที
ซึ่งกว่าจะติดก็ทำให้ใบหน้าอันงดงามของร่างนี้ ที่มีส่วนคล้ายตนตอนอายุสิบแปดได้มอมแมมไปจากคราบเขม่าดำ ๆ อยู่ไม่น้อย
“ฮ่า ๆ หน้าน้าเหยาเหมือนมีหนวดเลยค่ะ” เสียงหัวเราะใส ๆ ดังขึ้นจากเด็กหญิงตัวเล็ก ซึ่งมู่เฟยตอนนี้ได้หันมามองน้องสาวด้วยดวงตาเบิกกว้างที่เห็นน้องสาวของตนหัวเราะออกมา
“หนูขอโทษค่ะ” ซึ่งเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะรู้ตัวแล้วจึงได้หยุดหัวเราะและกล่าวขอโทษออกมาด้วยสีหน้าที่สลดลง
“ไม่เป็นไร น้าไม่ได้โกรธ” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยออกมาด้วยความสงสาร
“พวกเรามากินข้าวกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเสียงนกเสียงกาด้านนอกหรอก” ซูเหยาบอกกับเด็ก ๆ ที่ตอนนี้ได้พากันสูดดมเอากลิ่นหอมของอาหารเข้าปอดของตนกันแล้ว
ใจจริงเธอก็ไม่ได้ต้องการจะสอนเด็ก ๆ แบบนี้หรอก แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากย่าของพวกเด็ก ๆ มักจะใช้งานพวกเขาเกินอายุ ทั้ง ๆ ที่บ้านใหญ่ก็มีลูกสะใภ้และลูกชายของตนอยู่ ไหนจะยังมีหลานชายหญิงที่อายุมากกว่าเด็กสองคนนี้อีก
“พวกแกตายห่ากันไปแล้วรึไงถึงไม่ได้ยินเสียงของฉัน” เสียงนั้นยังดังอยู่หน้าประตูบ้าน พร้อมกับทุบประตูอย่างแรงโดยไม่กลัวว่าประตูจะพังเพราะฝีมือของตน
เด็กสองคนก็ยังคงทำท่าละล้าละลังไม่กล้าที่จะตักอาหารกินเพราะกลัวย่าจะบุกเข้ามาแล้วทำร้ายพวกเขา
“กินเร็วเข้า กินเสร็จน้าจะพาขึ้นเขาไปหาพ่อ” ซูเหยาบอกกับเด็กทั้งสองคน เพราะถ้าตามนิยายพ่อของเด็ก ๆ จะได้รับบาดเจ็บจากการล่าสัตว์ ซึ่งจะทำให้พิการได้ในอนาคต
ดังนั้นเธอจะต้องไปหยุดเรื่องเลวร้ายนี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ซึ่งมันน่าจะเกิดเร็ว ๆ นี้ ในช่วงที่เจ้าของร่างเดิมป่วยและพอตื่นขึ้นมาอีกหนึ่งวันก็ได้รับข่าวว่าสามีได้รับบาดเจ็บหนักจนถึงขั้นพิการ เหตุการณ์นั้นก็น่าจะเป็นวัน พรุ่งนี้
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดคือเธอจะต้องเข้าป่าวันนี้ โชคดีตรงที่ในนิยายได้กล่าวว่าพ่อของเด็ก ๆ บาดเจ็บแถวไหน เธอจึงได้วางแผนว่าจะเข้าไปหาของมีค่ามาขายด้วย จะได้เป็นการรับประกันฐานะของตนอีกทางหนึ่ง
ตอนนี้เธอยังไม่แน่ใจว่าเธอได้มาอยู่ในยุคไหน ซึ่งในนิยายไม่ได้ระบุไว้อย่างแน่ชัด แต่เธอคิดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายของยุคโบราณ เหตุที่เธอคิดแบบนี้ก็เพราะชุดที่เธอและเด็ก ๆ ใส่
รวมถึงทรงผมที่มู่เฟยไว้ผมยาวและมัดไว้อย่างลวก ๆ รองเท้าฟางเก่า ๆ ใกล้ขาด แต่ว่าการพูดการจาก็ไม่ได้เหมือนยุคโบราณเสียทีเดียว
“หนาวไหมเด็ก ๆ” ซูเหยาถามกับเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังกินไข่ผัดมะเขือเทศและโจ๊กข้าวโพดที่เธอทำอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่หนาวครับ/ค่ะ” เด็กน้อยกลืนโจ๊กแล้วพูดขึ้นมาพร้อมกัน ซูเหยาเมื่อเห็นการปฏิเสธของเด็กน้อยก็รู้สึกสะท้านอยู่ในอก เพราะเธอใส่เสื้อผ้าตั้งสามสี่ชั้นยังหนาว
และเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ใส่ผ้าบาง ๆ แถมขาดวิ่นจะไม่หนาวได้ยังไงกัน เธอสำรวจใบหน้าของเด็กน้อยที่เริ่มแดงและมีรอยแตกของผิวหนัง ไหนจะมือน้อย ๆ ที่บวมช้ำจนแดงนั่นอีก
‘นางเหยานะนางเหยา หล่อนนี่มันช่างใจร้ายจริง ๆ’ ซูเหยาอดไม่ได้ที่จะด่าเจ้าของร่างเดิมขึ้นมาอีก
เด็กน้อยที่ได้เห็นหน้าตาของซูเหยาเปลี่ยนไป พวกเขาต่างก็รีบวางช้อนลงอย่างลนลาน
“พวกหนูอิ่มกันแล้วเหรอ โจ๊กยังมีอีกเยอะนะกินให้อิ่ม” ซูเหยาที่ยังไม่รู้ตัวว่าเผลอทำหน้าน่ากลัวออกมาจึงได้ถามกับเด็ก ๆ ด้วยความสงสัยที่เห็นเด็กน้อยวางช้อนและตะเกียบ
“พะ..พวกเราอิ่มแล้ว” เด็กทั้งสองตอบออกมาพร้อมกัน ซูเหยาจึงทำได้แต่พยักหน้ารับอย่างปลง ๆ ให้กับอาการของเด็กทั้งสองคน
“เมื่อกินเสร็จแล้วเสี่ยวเฟยพาน้องไปล้างหน้าล้างตานะ แล้วเข้ามาหาน้าในห้อง น้าจะเอาเสื้อผ้าใหม่ให้เปลี่ยน” ซูเหยาบอกกับเด็กทั้งสองที่ยังนั่งนิ่งกันอยู่
“พวกเราจะช่วยน้าเหยาเก็บถ้วยชามก่อนครับ/ค่ะ” เด็กน้อยสองคนพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าซูเหยากำลังเก็บสิ่งของบนโต๊ะ
ซูเหยาเมื่อเธอเห็นถึงการกระทำของเด็กสองคนนี้ เธอก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูออกมาไม่ได้ เธอจึงได้ยิ้มออกมา
ในระหว่างที่เธอกำลังมองเด็กสองคนนี้อยู่อย่างชื่นชม เสียงทุบประตูหน้าบ้านก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง
ซูเหยาจึงได้เดินไปเปิดประตูให้กับคนที่ตะโกนแหกปากอยู่ด้านนอก เพราะเขาตะโกนตั้งแต่เธอกับเด็ก ๆ ยังไม่กินข้าว จนกินข้าวเสร็จแล้วก็ยังตะโกนไม่เลิก
เมื่อเธอเปิดประตูออก คนที่กำลังทุบประตูอยู่ก็ได้ถลามาตามแรงโน้มถ่วง และตอนนี้เธอคนนั้นหน้าก็คะมำลงไปกองอยู่กับพื้นบ้านในสภาพหมดท่าทีเดียว
“แม่สามี มีอะไรเหรอคะ ถึงได้มาส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าบ้านฉันแต่เช้า” ซูเหยาถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
และเธอก็ไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยพยุงหญิงชรานางนี้ที่ยังมีแรงมาด่าทอเด็ก ๆ และทุบประตูบ้านของตนด้วย สิ่งที่เธอทำคือมีเพียงปรายตามองแค่นั้น
“หล่อนเป็นสะใภ้ฉันนะยะ แล้วลูกเลี้ยงของหล่อนไปไหน ไปเรียกให้พวกมันไปเกี่ยวหญ้ามาให้หมูกินได้แล้ว
หล่อนไม่ได้ยินเสียงหมูมันร้องหรอกเหรอ” เสียงแหลมของฉินเจียวพูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวใส่ซูเหยา เมื่อเธอสามารถยืนทรงตัวได้มั่นคง
“เด็ก ๆ ไม่ว่างค่ะ ฉันจะให้พวกเขาขึ้นเขาไปกับฉัน ส่วนงานบ้านโน้นต่อไปนี้ก็ให้คนบ้านโน้นทำนะคะ อย่าได้ลามมาถึงคนบ้านนี้อีก เพราะเราแยกครัวกินกันตั้งนานแล้ว
ให้เด็ก ๆ ไปช่วยงานอาหารก็ไม่เคยให้กิน ดังนั้นมาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้นค่ะ” ซูเหยาพูดกับแม่สามีของตนอย่างไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกรังแก
“กะแกมันเป็นตัวซวยจริง ๆ ฉันไม่น่าให้ลูกชายฉันแต่งแกเข้าบ้านมาเลย งานอะไรก็ไม่เคยหยิบจับ ฉันจะใช้หลานฉันมันเกี่ยวอะไรกับหล่อนยะ” เสียงที่ไม่ยอมแพ้ของขิงแก่เผ็ดร้อนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เกี่ยวสิคะ ก็เขาสองคนเป็นลูกของสามีฉัน และตอนนี้ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของเขา ดังนั้นเขาทั้งสองก็ย่อมเป็นลูกของฉันด้วยเหมือนกัน คุณแม่ว่าจริงหรือเปล่าล่ะคะ” ซูเหยาก็ยังคงลอยหน้าลอยตาพูดกับแม่สามีตัวร้ายของตนต่อไป
“กะ..แกฉันจะบอกลูกชายฉันให้หย่ากับแก เพราะแกมันร้าย” ฉินเจียวซึ่งตอนนี้ได้โกรธลูกสะใภ้คนรองจนไฟแทบจะออกจากหัว
ได้ยืนเอานิ้วชี้หน้าลูกสะใภ้นอกคอกของตนพร้อมกับเต้น เร้า ๆ ด้วยความขัดใจ เพราะในตอนนี้เธอไม่สามารถเถียงอะไรกับซูเหยาได้แม้เพียงครึ่งคำ
“แม่คะ ฉันว่าเรากลับกันเถอะค่ะ” จิวเหลียนลูกสะใภ้คนโตที่ได้เดินตามมาห่าง ๆ เมื่อเห็นว่าแม่สามีมีแนวโน้มว่าจะแพ้ให้กับซูเหยาเธอจึงได้แสดงตัวออกมา
“จะว่าไปพี่สะใภ้ก็น่าจะทำงานบ้างนะคะ เพราะดูจากรูปร่างที่อวบอ้วนเข้าขั้นระยะสุดท้ายแบบนี้ระวังสามีจะไปมีหญิงอื่น
หรือไม่ก็อาจจะมีโรคภัยมาเบียดเบียนเอาได้” ซูเหยาเมื่อเธอหันมาเห็นสะใภ้คนโตเธอจึงพูดแขวะออกมา
เพราะนังลูกสะใภ้คนโตนี่แหละตัวดีที่มักจะหลอกเด็ก ๆ ไปใช้งานอยู่บ่อย ๆ ซึ่งซูเหยาคนก่อนแม้จะรู้เห็นก็ไม่เคยว่าปราม แต่กับเธอนั้นไม่ใช่ เพราะเธอถือคติว่าใครดีมาก็ดีตอบ ใครร้ายมาก็คืนไปเท่าทวี
“นี่น้องสะใภ้ ฉันไม่เคยทำอะไรเธอนะ และรูปร่างอย่างพี่นี่เขาเรียกว่าคนมีอันจะกินอุดมไปด้วยทรัพย์สมบัติต่างหากไม่เหมือนกับน้องสะใภ้ที่พอลมพัดทีก็คงจะปลิวไปตามลมอย่างแน่นอน” จิวเหลียนก็ตอบโต้กลับซูเหยาอย่างไวเช่นเดียวกัน
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เชิญผู้มีอันจะกินทั้งสองช่วยเดินออกจากบ้านของฉันด้วยนะคะ เพราะฉันจะรีบออกไปข้างนอกค่ะ เชิญ” ซูเหยาได้พูดไล่คนออกมาอย่างไม่ไว้หน้าอีกครั้ง แม้ว่าคนคนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นแม่สามีก็ตาม
เพราะตามนิยายมู่หานเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง เขาใช้ชีวิตในตระกูลนี้มาด้วยความยากลำบาก โดนใช้ทำงานต่าง ๆสารพัด
แต่ว่าเขายังถือว่าโชคดีที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าป่าลึกที่อยู่ในภูเขา แล้วได้ช่วยคนที่หลบหนีจนชายคนนั้นปลอดภัย ชายคนนั้นในระหว่างรักษาตัวจึงได้สอนหนังสือและความรู้ต่าง ๆ ให้กับมู่หานเป็นการตอบแทน
ตามเรื่องในนิยายมู่หานเป็นตัวเอกชายที่ถึงแม้ในอนาคตจะพิการ แต่ว่าเดี๋ยวเขาก็จะได้เจอกับตัวเอกหญิงซึ่งเป็นผู้ที่มองโลกสวย เป็นหมอเข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้
แล้วได้ลูก ๆ ของมู่หานช่วยเหลือจากอันธพาล พวกเด็ก ๆ ได้พาหมอคนนี้กลับมาบ้าน เมื่อหมอสาวได้มาเห็นสภาพมู่หานเธอจึงคิดว่าเขาน่าจะยังรักษาได้ ซึ่งก็เป็นจริงเพราะเธอหาวิธีรักษามู่หานได้สำเร็จ พวกเขาก็ได้เกิดความรักต่อกัน
หากจะถามว่าแล้วซูเหยาในเรื่องไปไหน ก็จะต้องบอกว่าหล่อนหนีไปนะสิ หนีไปคนเดียว โดยนำเงินทั้งหมดของบ้านไปด้วย ซึ่งเงินส่วนนั้นก็เป็นเงินจากคนที่มู่หานช่วยชีวิตไว้ได้มอบให้กับเขา
จากเหตุการณ์ที่มู่หานจะต้องพิการนี่แหละ เพราะคนที่มู่หานได้ช่วยไว้เป็นหนึ่งในพรานป่าที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ด้วยกัน แล้วพลาดเกือบจะตกหลุมลึก
แต่ตัวเอกอย่างมู่หานได้เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน โดยได้ผลักชายคนนั้นให้รอดพ้นภัยไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่าโชคร้ายกลับมาตกที่ตัวเองจึงได้พลาดตกลงไปแทน
ดังนั้นในเมื่อเธอรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เธอก็จะต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหมดให้จงได้ ถ้าเธอยังเปลี่ยนไม่ได้ก็คงจะเสียชาติเกิดที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตในร่างนี้อีกครั้ง
“น้าคะ/ครับ พวกเราล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วค่ะ/ครับ” เด็กน้อยทั้งสองค่อย ๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนเมื่อเห็นว่าย่าและป้าสะใภ้ได้ออกไปจากบ้านของพวกตนแล้ว
เสียงของเด็กน้อยสองคนได้ปลุกให้ซูเหยาได้หลุดออกจากภวังค์ความคิด
“ถ้าอย่างนั้นไปรอน้าในห้องของหนูก่อนนะ เดี๋ยวน้าตามเข้าไป” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยหลังจากปิดประตูบ้านเรียบร้อย
เมื่อคล้อยหลังพวกเด็ก ๆ ซูเหยาก็ได้เข้าไปในห้องนอนของตน พร้อมกับนึกถึงสิ่งของที่ต้องการที่มีในห้าง
เธอนึกถึงสิ่งของที่จำเป็นโดยใช้เวลาสักพัก และเมื่อรู้สึกตัวจึงเห็นข้าวของกองเป็นภูเขาย่อม ๆ อยู่ตรงหน้า
“อุ๊ย! สงสัยช็อปเพลินไปหน่อย แต่ว่าการจับจ่ายโดยไม่เสียเงินนี่มันช่างดีเสียจริง” ซูเหยาได้พูดออกมาอย่างดีใจ
“ใครว่าไม่เสียเงิน การซื้อของท่านแต่ละครั้งได้ถูกหักออกจากเงินฝากที่ท่านเคยสะสมไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเงินส่วนนั้นระบบก็ได้ทำการดึงเข้ามาไว้ในนี้ด้วย
แต่ท่านไม่ต้องกังวลเพราะเงินของท่านยังมีอีกมากในการเอาไว้ให้ท่านซื้อของเพื่อเป็นการสร้างตัวในยุคนี้” เสียงโมโนโทนของห้างสรรพสินค้าดังขึ้น
ซึ่งตอนนี้ซูเหยาก็ได้แต่บ่นอยู่ในใจกับเจ้าระบบเชิงบังคับขี้งก แต่ก็ยังถือว่าโชคดีอยู่ไม่น้อยที่เธอตัวคนเดียวแต่ก็มีเงินเก็บอยู่พอสมควร
“แต่ว่าพวกเครื่องประดับและทองคำที่ฉันเก็บไว้ได้ตามมาด้วยไหมล่ะ” เธอพูดออกมาอย่างเสียดาย
“ช่างเถอะตอนนี้ไปหาเด็กน้อยผู้น่ารักสองคนนั้นดีกว่า” เธอพูดเองเออเองอีกครั้ง ก่อนที่จะนำสิ่งของ ของเด็ก ๆ ใส่ลงในกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่แล้วลากไปที่ห้องของเด็กทั้งสองที่ตอนนี้นั่งรอเธออยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ
























































































